อีซูซุมังกรทอง ปิกอัพระดับตำนาน พระบิดาของกระบะ 1.9 ที่อึดสุด ทนสุด ประหยัดน้ำมันสุด

อีซูซุมังกรทอง ปิกอัพระดับตำนาน พระบิดาของกระบะ 1.9 ที่อึดสุด ทนสุด ประหยัดสุด

อีซูซุมังกรทอง ปิกอัพระดับตำนาน พระบิดาของกระบะ 1.9 ที่อึดสุด ทนสุด ประหยัดน้ำมันสุด

ย้อนกลับไปเมื่อช่วงเดือน สิงหาคม พ.ศ. 2531 บริษัทตรีเพชรอีซูซุเซลส์ ได้เปิดตัวปิกอัพเจเนอเรชั่นที่ 4 ใช้รหัสตัวถังใหม่ชื่อว่า TFR ภายใต้ชื่อ ISUZU Faster Z 2500 Di

เป็นที่จดจำของลูกค้าในชื่อ อีซูซุมังกรทอง (เนื่องจากในโฆษณาของรุ่นนี้ มีหุ่นยนต์มังกรโผล่ขึ้นมาจากน้ำ)

ปี พ.ศ. 2531

โดยโฉมแรกที่เปิดตัวในปี 2531 ISUZU Faster Z 2500 Di ถือเป็นการปฏิวัติวงการรถปิกอัพ ด้วยการออกแบบดีไซน์ที่ล้ำสมัย การออกแบบโค้งมน และขยายขนาดตัวถังให้ใหญ่ขึ้นทุกมิติ และใหญ่กว่าคู่แข่งในยุคนั้น

มาพร้อมกระจังหน้าโครเมียม และไฟหน้าตาลึก ที่ปัดน้ำฝนแบบซ่อนรูปสไตล์รถเก๋ง พร้อมกระจกข้างแบบหูช้าง มือเปิดประตูโครเมียม พร้อมตัวอักษร ISUZU ขนาดใหญ่ที่ฝาท้าย โดยมีให้เลือกเพียง 2 ตัวถัง คือแบบ Spacecab แบบตอนครึ่ง และ Spark รุ่นตอนเดียว โดยในรุ่น Spark มีออฟชั่นติดตั้งขอเกี่ยวสัมภาระแบบ 5 ขอให้เลือกอีกด้วย

ภายในห้องโดยสาร ได้รับการออกแบบใหม่หมด มาพร้อมคอนโซลหน้าสุดล้ำ ใช้ปุ่มในการควบคุมไฟหน้าที่ด้านขวา และปุ่มควบคุมที่ปัดน้ำฝนที่ด้านซ้าย พวงมาลัยเป็นแบบ 3 ก้าน พร้อมพวงมาลัยเพาเวอร์เป็นออฟชั่นให้เลือกในรุ่น Spacecab เป็นครั้งแรกในวงการรถปิกอัพเมืองไทย

เบาะหุ้มด้วยหนังเทียมในรุ่น Spacecab เบาะนั่งแบบยาวในรุ่น Spark และพื้นห้องโดยสารบุด้วยไวนิล ไม่มีเครื่องปรับอากาศ วิทยุเทป และเข็มขัดนิรภัย โดยสามารถเลือกออฟชั่นเพิ่มได้จากตัวแทนจำหน่าย

ISUZU Faster Z 2500 Di มาพร้อมขุมพลัง เครื่องยนต์ดีเซล หัวฉีดตรง “Direct Injection” รหัส 4JA1 2,500 ซีซี อันเลื่องชื่อ ความจุกระบอกสูบ 2,499 ซีซี ขนาดความโตกระบอกสูบ/ระยะชัก 93/92 มม. อัตราส่วนความอัด 18.4 ต่อ 1 ให้กำลังสูงสุด 87 แรงม้า ที่ 4,200 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 172 นิวตันเมตร ที่ 2,000 รอบ/นาที จับคู่กับเกียร์ธรรมดา 5 สปีด รุ่น MSG5E 

โดยเป็นเครื่องยนต์ดีเซลที่ได้รับการยอมรับว่า อึด ถึก ทน และประหยัดน้ำมันมากที่สุดในยุคนั้น

ปี พ.ศ. 2532

หลังจากนั้นในปี พ.ศ. 2532 ได้มีการปรับออฟชั่น เพิ่มมาตรวัดรอบเครื่องยนต์ และที่ปัดน้ำฝนแบบปัดเป็นจังหวะ และเพิ่มเข็มขัดนิรภัยแบบ 2 จุด เป็นอุปกรณ์มาตรฐาน รวมทั้งลดจำนวนสติกเกอร์รอบคันให้น้อยลง

ปี พ.ศ. 2533

มีการปรับโฉมครั้งแรก โดยปรับดีไซน์ให้แตกต่างจากโฉมแรก ทั้งกระจังหน้าโครเมียม แบบไฟเต็ม ในรุ่น Spacecab และแบบสองช่องโครเมียมในรุ่น Spark พร้อมตัดกระจกหูช้างทิ้งไป และมีการแบ่งรุ่นย่อยเป็น Spacecab SL และ Spark EX

ปี พ.ศ. 2535

ได้มีการอัพเกรดเครื่องยนต์ดีเซล รหัส 4JA1 Direct Injection 2.5 ลิตร ปริมาตรความจุกระบอกสูบยังเท่าเดิม 2,499 ซีซี ขนาดความโตกระบอกสูบ/ระยะชักเท่าเดิมคือ 93/92 มม.อัตราส่วนความอัดเหมือนเดิม 18.4 ต่อ 1 ให้กำลังสูงสุด 90 แรงม้า ที่ 4,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 172 นิวตันเมตร ที่ 2,000 รอบ/นาที จับคู่กับเกียร์ธรรมดา 5 สปีด รุ่น MSG5K ความเร็วสูงสุด 145 กม./ชม. 

นอกจากนั้นยังได้พัฒนาประสิทธิภาพของลูกสูบ ช่วยยืดอายุการใช้งาน รวมทั้งปรับปรุงห้องเผาไหม้ เพิ่มประสิทธิภาพแม่ปั๋มน้ำมันเชื้อเพลิงแบบ VE พร้อมหัวฉีดใหม่ ช่วยเพิ่มการเผาไหม้อย่างหมดจด กำลังดีขึ้น ประหยัดน้ำมันมากขึ้น

พร้อมเพิ่มรุ่นย่อยใหม่ รุ่น Spacecab SLX สำหรับลูกค้าที่ต้องการความหรูหรา โดยมีสีบรอนซ์เงินเมทาลิก ให้เลือกเพียงสีเดียว พร้อมกันชนหน้าสีทูโทน ล้ออัลลอยขนาด 14 นิ้ว หกก้าน พร้อมยางเรเดียล Bridgestone 205/75 R14 พร้อมสัญลักษณ์ความแรง 90 แรงม้า

ภายในห้องโดยสารได้เบาะนั่งดีไซน์ใหม่ หุ้มด้วยผ้ากำมะหยี่นำเข้าจากญี่ปุ่น หัวหมอนมีรูหรือหัวหมอนโดนัท รวมทั้งติดตั้งเครื่องปรับอากาศจากโรงงาน ที่พักแขนคอนโซลกลาง นาฬิกาดิจิทัล พร้อมอัพเกรดเข็มขัดนิรภัยเป็นแบบ 3 จุด และให้พวงมาลัยเพาเวอร์เป็นอุปกรณ์มาตรฐานสำหรับรุ่นนี้ โดยยังคงทำตลาดควบคู่กับ Spacecab SL ที่เลือกได้ทั้งรุ่นพวงมาลัยเพาเวอร์ และพวงมาลัยแบบธรรมดา และ Spark EX

ในเวลาเดียวกันนั้นยังได้เพิ่มรุ่นย่อยใหม่ Rodeo 4WD ปิกอัพระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ ประกอบในประเทศเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ ในตัวถัง Spacecab โดยได้เพิ่มความสูงใต้ท้องรถเพิ่มขึ้นเป็น 220 มม. พร้อมล้ออัลลอยด์ 6 ก้าน สีเงินขนาด 15 นิ้ว พร้อม ยาง Bridgestone 225/70 R15

ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อแบบ Part-Time พร้อระบบล็อกล้อหน้าอัตโนมัติ Auto Lock HUB นับเป็นเจ้าแรกของวงการรถปิกอัพขับเคลื่อน 4 ล้อ โดยไม่ต้องหยุดรถเพื่อลงมาปรับล็อกที่ดุมล้อหน้า พร้อมเพืองท้าย Limited Slip

ปี พ.ศ. 2536

มีการปรับอุปกรณ์มาตรฐานใหม่ เพิ่มเครื่องปรับอากาศจากโรงงาน นาฬิกาดิจิทัล และเข็มขัดนิรภัยแบบ 3 จุด ในทุกรุ่น ทุกตัวถัง พร้อมพวงมาลัยดีไซน์ใหม่ยกชุดมาจาก ISUZU Trooper ในรุ่น Spacecab SL เพิ่มความหรูหราด้วยพื้นห้องโดยสารบุด้วยพรม และพร้อมกล่องเก็บของคอนโซลกลาง

ปี พ.ศ. 2538

ได้มีการปรับโฉมหน้าตาให้แตกต่างจากเดิม เพิ่มเอกลักษณ์เฉพาะรุ่น

โดยในรุ่น Spacecab SLX (ฉายาหน้าหนู) ได้ปรับกระจังหน้าแบบสีเดียวกับตัวรถแบบมีรูตรงกลาง พร้อมโลโก้ ISUZU ไฟหน้าใหม่ พร้อมกันชนหน้าทูโทนสีเดียวกับตัวรถ พร้อมล้ออัลลอยขนาด 14 นิ้วลายใหม่ กระจกมองข้างสีเดียวกับตัวรถ ที่เปิดประตูสีดำ พร้อมเป็นผู้นำในการติดตั้งกระจกไฟฟ้า และเซ็นทรัลล็อกเป็นครั้งแรกในวงการปิกอัพ

ส่วนรุ่น Spacecab SL และ Rodeo 4WD จะได้กระจังหน้าโครเมียมแนวนอนทรงย้อย ไฟหน้าใหม่ กระจกมองข้างสีเดียวกับตัวรถ ที่เปิดประตูสีดำ

พร้อมอัพเกรดเครื่องปรับอากาศ ใช้น้ำยาแอร์แบบ R134a ปลอดสาร CFC เบาะนั่งดีไซน์ใหม่ แบบหมอนโดนัท พร้อมปรับปรุงเครื่องยนต์ดีเซล 4JA1 ให้ผ่านมาตรฐานไอเสีย EURO1

พร้อมกันนั้นยังเพิ่มตัวเลือกเกียร์อัตโนมัติ 4 สปีด  AW03-72L พร้อม Overdrive ให้เลือกในรุ่น Spacecab SLX, SL เป็นครั้งแรก

อีซูซุมังกรทอง นับเป็นรุ่นประวัติศาสต์ของอีซูซุ ที่เปลี่ยนแปลงวงการปิกอัพ ด้วยนวัตกรรมต่างๆ ที่ใส่เข้ามาในวงการรถปิกอัพเป็นครั้งแรก พร้อมสร้างตำนานในด้านความทนทาน และความประหยัดน้ำมันด้วย เครื่องยนต์ที่ในยุคนั้น ลูกค้าชาวไทยต่างคุ้ยเคยกับเครื่องยนต์ Direct Injection สร้างยอดขายเป็นกอบเป็นกำ จนถึงปี พ.ศ. 2540

ก่อนจะส่งต่อความสำเร็จให้กับรุ่น ISUZU Dragon Eyes และ ISUZU D-Max อีก 3 เจนเนอร์เรชั่น จนถึงปัจจุบัน

แหล่งข้อมูล : www.autodeft.com, www.autofun.co.th, www.autowoke.com